ยาลดไขมันด้วยมะเขือเทศ
เชื่อมั่นสรรพคุณสูงกว่ายาประเภทสแตติน
เชื่อมั่นสรรพคุณสูงกว่ายาประเภทสแตติน

คนไข้โรคหัวใจ และอัมพฤกษ์ อัมพาต จะพากันมีความหวังหายจากโรคร้ายเพิ่มขึ้น เมื่อมีการผลิตยาเม๊ดขนานใหม่ ด้วยสารประกอบไวโคเพน ที่มีสรรพคุณต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ที่ได้จากเปลือกของผลมะเขือเทศ
นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทยาไบโอเทค ที่เมืองเคมบริดจ์ ได้ค้นพบว่า ไลโคเปน
สารประกอบสีแดงในเปลือกขแงมะเขือเทศ
มีสรรพคุณช่วยป้องกันไขมันจับตามหลอดเลือด
พวกเขาได้ทดลองพบสูตรว่า หากจะทำให้มันเข้มแข็งยิ่งขึ้น จะต้องผสมนมและโปรตีนจากถั่วเหลืองเข้าไปด้วย จึงจะมีสรรพคุณช่วยลดระดับอันตรายของไขมันในหลอดเลือดลง
พวกเขาได้ทดลองพบสูตรว่า หากจะทำให้มันเข้มแข็งยิ่งขึ้น จะต้องผสมนมและโปรตีนจากถั่วเหลืองเข้าไปด้วย จึงจะมีสรรพคุณช่วยลดระดับอันตรายของไขมันในหลอดเลือดลง
หนังสือพิมพ์รายวัน "เดอะ ซัน"
ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ รายงานว่า
ยาขนานนี้จะช่วยป้องกันความเสียหายของเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
และอำพฤกษ์อัมพาต "ยิ่งเทื่อคิดในระดับโลกแล้ว มันจะช่วยยืดอายุผู้คน
และอาจจะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้เป็นอันมาก" โดยเฉพาะหมอประสาทวิทยาศาสตร์
นายแพทย์ปีเตอร์ เคิร์กแพทริก ชื่อดังก็กล่าวว่า "เชื่อมั่นยามีทีท่าว่า
จะให้ผลดียิ่งกว่ายาลดไขมันในเลือดประเภทแสตติน"
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการพบว่ามะเขือเทศเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วน และห่างไกลจากโรคอ้วนได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปพยายามลดอาหารและปล้ำออกกำลังกายจนหน้าดำหน้าแดง เลย ซึ่งนักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับสตรี 17 คน โดยให้กินแซนด์วิชที่ทำด้วยขนมปังขาว ชนิดที่มีหัวผักกาดแดง หรือมะเขือเทศเป็นไส้เป็นอาหาร
ปรากฏผลว่าผู้ที่กินแซนด์วิชที่ประกบมะเขือเทศ จะพากันรู้สึกอิ่มทนนานที่สุด และไม่ค่อยไปหาของขบเคี้ยวกินพร่ำเพรื่อ อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อ้วนอย่างหนึ่ง หัวหน้าโครงการ วิจัยเชื่อว่า เป็นเพราะมะเขือเทศมีส่วนประกอบที่ไปปรับระดับฮอร์โมน จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว ซึ่งการลดน้ำหนักตัว หรือการลดความอ้วน ก็อาจจะเป็นสิ่งที่มะเขือเทศทำได้อีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นความจริงขนาดไหน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมะเขือเทศมีผลดีกับสุขภาพร่างกายของเราแน่ ๆ ถ้าเราได้รับประทานมะเขือเทศ อย่างน้อย ๆ ตามความเชื่อส่วนตัวของผมเอง ซึ่งเชื่อว่าทานมะเขือเทศแล้วจะผิวสวย ซึ่งถูกผู้ปกครองปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งจริง ๆ มะเขือเทศอาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2552
0 comments:
Post a Comment