Tuesday, October 23, 2012

มะเขือเทศ แดงนี้มีดี


มะเขือเทศ แดงนี้มีดี

  
   มะเขือเทศ จัด เป็นผลไม้ (หลายคนคิดว่าน่าจะเป็นผักมากกว่า) ที่คู่กับความสวยความงามของผู้หญิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งการบำรุงภายนอกและการกินเพื่อให้สวยจากภายใน ซึ่งประโยชน์จากมะเขือเทศ ก็มีมากมายจริงๆ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรมองข้ามหรือเขี่ยทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย 


      สีแดงในมะเขือเทศ มีดีอย่างไร
    ที่มะเขือเทศมีสีแดง เพราะมีสารไลโคฟีนหรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด ในมะเขือเทศยังมีโพแทสเซียม เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี และให้พลังงานต่ำ (ไม่อ้วนแน่นอน) 

    
   สิ่งที่ทำให้มะเขือเทศเป็นผลไม้คู่ความสวยงาม    เป็นเพราะว่า มะเขือเทศผลกลางๆ 1 ผล มีวิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล และมีวิตามินเอ 1 ใน 3 ของวิตามินเอทั้งหมดที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน  
  
   ผลการพิสูจน์ประโยชน์จากมะเขือเทศ
   * ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา จึงนำไปใช้เป็นยารักษาโรคบริเวณปากที่เกิดจากเชื้อราได้
   * สารไลโคฟีน ลด การเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ (ฝากบอกถึงคุณพ่อบ้านว่า การกินมะเขือเทศ 10 ครั้ง : สัปดาห์ ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ 45%)
   * มีกรดอะมิโนที่ชื่อ กลูตามิค เป็นกรดที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร (ทำให้เจริญอาหารได้เป็นอย่างดี เป็นตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรส)
   * มะเขือเทศที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและเอช่วยให้ผิวพรรณสดใสจากภายใน เลือดไหลเวียนดี แต่ถ้าอยากให้
   ผิวหน้าอ่อนนุ่ม ชุ่มชื่นก็ฝานบางๆ และนำมาแปะไว้บนใบหน้าสัก 15  นาที หรือจะคั้นน้ำสดๆ มาทาหน้า จะช่วยลดริ้วรอยได้ค่ะ
  
   ใครที่ไม่ชอบกินมะเขือเทศ เมื่อ เห็นถึงประโยชน์มากมายของผลไม้สีแดงนี้ ลองเปลี่ยนใจหันมากินบ้าง อาจจะเริ่มจากน้อยๆ ก่อน ไม่ชอบกินสด ก็นำไปใส่ข้าวผัด คั้นน้ำ หรือจิ้มเกลือกินก่อน แล้วก็จะค่อยๆ ชินกับรสชาติไปเองค่ะ  ที่สำคัญ อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนกินนะคะ




แหล่งที่มา Mother & Care /May
update by flower

เกร็ดความรู้ : เรื่องของ..มะเขือเทศ



เกร็ดความรู้ : เรื่องของ..มะเขือเทศ
มะเขือ เทศสีสดใสสะดุดตา เห็นแล้วชวนรับประทานยิ่งนัก ทำเอาทั้งหลายท่านห้ามใจไม่อยู่ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่เห็นเจ้ามะเขือเทศแล้วร้อง ?ยี้!!? ไม่ว่าจะมาในแบบสดๆ หรือผ่านการแปรรูปมาแล้วก็ตาม ดังนั้นมะเขือเทศจึงมักกลายเป็นแค่เครื่องประดับอาหารจานอร่อยไปโดยปริยาย

จะ บอกให้นะคะว่า คุณกำลังบอกปัดสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไปอย่างน่าเสียดายค่ะ เพราะมะเขือเทศนั้นไม่ใช่ว่าจะสวยแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่ภายในยังมีคุณค่ามากมาย ที่ทำให้มะเขือเทศเป็นราชินีแห่งผักและผลไม้ไม่แพ้กับผักชนิดอื่นเช่นกัน จะเรียกว่างามทั้งนอกและในก็คงไม่ผิด

การรับประทานมะเขือเทศเพียง วันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ ของคุณด้วยค่ะ

ข้อดีประการสุดท้ายคงถูกใจสาวๆ ส่วนใหญ่ ฉะนั้น สาวใดที่อยากผิวสวยควรหันมารับประทานมะเขือเทศวันละ 1-2 ลูกเป็นประจำ เท่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงให้เปลืองเงินเปลืองทองที่สำคัญ มะเขือเทศนั้นราคาแสนถูก ถ้าจะต้องรับประทานเป็นประจำเพื่อผิวสวยและสุขภาพที่แข็งแรงก็ไม่น่าจะเดือด ร้อนเงินในกระเป๋า จริงไหมคะ.


ข้อมูล : www.pop.co.th


มะเขือเทศราชินี ความลับผิวสวย

         คุณผู้หญิง ที่อยากมีสุขภาพผิวขาวใส อมชมพู แก้มแดงมีสุขภาพดีได้ง่ายๆ แนะนำให้ทาน มะเขือเทศราชินี ให้ได้วันละ 20 ลูก เพราะประโยชน์ต่อผิวพรรณมีมากกว่านั้น..

เทคนิคความสวยด้วยผักผลไม้ แบบไม่ยาก แค่รู้จักรับประทาน สำหรับคุณผู้หญิงที่อยากจะมีผิวขาว ใส ดูขาวอมชมพู แก้มแดงๆใสๆ แนะนำให้ทาน มะเขือเทศ เพราะมีสารอาหารที่บำรุงผิวมาก และจำเป็นต่อสาว คุณผู้หญิงอย่างมาก สำหรับคุณผู้หญิงที่ไม่ชอบทานมะเขือเทศ อาจจะเหม็น หรือยี้กัน วันนี้เรามีผลไม้ มะเขือเทศราชินีหรือมะเขือเทศเชอร์รี่จะมีรสหวานมากกว่ามะเขือเทศลูกโตทรง แป้นๆ ที่เอาไปจิ้มกับเกลือ หรือฝรั่งที่ไว้ฝานกินกับแฮมเบอร์เกอร์   มะเขือเทศราชินีมักใช้กินเป็นอาหารว่างหรือใส่ในอาหารจานสลัด มะเขือเทศจะมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร วิตามินซี วิตามินเอ โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน บี1 บี2 วิตามินเค เห็นไหมค่ะว่าคุณประโยชน์มีมากมาย ประโยชน์ที่เหมาะกับสุขภาพผิว โดยเฉพาะคุณผู้หญิงมากๆ 

ประโยชน์เพื่อสุขภาพและผิวพรรณ ของมะเขือเทศ
 
- มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้ในโรคที่เกี่ยวกับเชื้อราในช่องปากได้
- มะเขือเทศช่วยบำรุงผิว ลดริ้วรอย รักษาสิว สมานผิว ช่วยให้ผิวเต่งตึง จะใช้น้ำมะเขือเทศทาพอกหน้า หรือใช้มะเขือเทศสุกฝานบางๆ ปะบนใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม
- มะเขือเทศมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ จึงสามารถใช้ลดอาการความดันเลือดสูงได้
- มะเขือเทศบำรุงสายตา เนื่องจากมีวิตามินเอสูงนั่นเอง
- การกินมะเขือเทศลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคหลอดเลือดหัวใจ
 
 


  • ความลับของมะเขือเทศ 
    ** มะเขือเทศเป็นผัก/ผลไม้ที่มีรสชาติถูกปากผู้บริโภค ทั้งนี้เป็นเพราะมะเขือเทศมีกรดอะมิโนกลูตามิกสูง กรดอะมิโนตัวนี้เป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรส จึงเป็นเหตุให้มะเขือเทศเพิ่มรสชาติให้อาหารทุกชนิด
     
    ** ปัจจุบันมีข้อมูลระบาดวิทยายืนยันว่า เมื่อมีการเพิ่มการกินมะเขือเทศจะลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งต่อมลูกหมาก
     
คุณประโยชน์เพื่อสุขภาพและผิวพรรณ ของมะเขือเทศ
  • ช่วยคงความสดชื่นให้ผิวหน้าด้วยการใช้ผลสุก สูตรพอกหน้ามะเขือเทศ  จะทำให้ผิวหน้าเต่งตึงอ่อนนุ่ม และมะเขือเทศยังช่วยรักษาสิว ได้อีกด้วย
  • สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ช่วยเป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็น
  • ผลมีรสเปรี้ยว เสริมวิตามินซี เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยดับกระหาย ช่วยให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีขึ้น และยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ขับสารพิษจากร่างกาย และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ โดยรับประทานผลสด ผู้ที่รับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
  • ช่วยแก้อาการปวดฟัน โดยนำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทาน

ซอสมะเขือเทศ ให้ประโยชน์มากกว่า มะเขือเทศสด ??

ซอสมะเขือเทศ VS มะเขือเทศสด


สวัสดีค่ะทักทายกันอีกแล้วนะคะ  วันนี้เรามีสาระเรื่องมะเขือเทศมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ  เชื่อว่า เพื่อนๆที่กำลังอ่านบล็อกนี้ คงจะมีคนที่ทั้งชอบ และ ไม่ชอบ มะเขือเทศอย่างแน่นอน และเราก็เป็นอีกคนที่ 'ไม่ชอบ' ทานมะเขือเทศเอาซะมากๆด้วย
แต่เท่าที่เรารู้ๆมา ในมะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามินซี มีประโยชน์ในเรื่องของผิวพรรณ และยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์อีกแน่ะ  และรู้มาอีกว่ามะเขือเทศช่วยต่อต้านการก่อโรคมะเร็งอีกด้วยนะ
และล่าสุดเค้ามีผลการวิจัย พบว่า มะเขือเทศที่ผ่านความร้อน หรือผ่านการปรุงสุก ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ จะมีในระดับที่สูงกว่ามะเขือเทศสด!!! ที่ ชอบก็ตรงนี้แหละ ฮ่าๆ (พอดีเพื่อนเราทำธุรกิจขายตรง และกำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยว มะเขือเทศ เลยเอาข้อมูลที่วิทยากรบรรยายมาเล่าให้เราฟัง)

ที่มา : http://www.supapl.siam108site.com/knowledge/tomato.htm
 
ซอสมะเขือเทศ  กับ มะเขือเทศสด ....เพื่อนๆแต่ละคนคงรู้ตัวแล้วใช่มั้ยคะว่าจะตัดสินใจเลือกอะไรดี ???
ได้ยินดังนี้แล้ว  เราเลยมองทางออกในเรื่องของมะเขือเทศ ซึ่งเราไม่ชอบได้ว่า เราจะมีวิธีต่อสู้กับมันยังไงดี...^^

มะเขือเทศ : ต้านอนุมูลอิสระ-ชะลอชรา



การกินมะเขือเทศเป็นประจำ จะช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระได้มาก ช่วยชะลอความแก่ชรา และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างเช่น มะเร็ง หรือโรคหัวใจได้มาก…

      มะเขือเทศ ทุกท่านคงจะรู้จักมะเขือเทศเป็นอย่างดี เพราะเป็นผลไม้ที่ใช้ในการประกอบอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ มากมาย และเป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับวิตามินซี วิตามินเค แร่ธาตุโปแตสเซียม และโบรอน สารสำคัญในมะเขือเทศที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ คือ สารไลโคพีน (lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ และช่วยในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย สารไลโคพีนนี้มีประสิทธิภาพเหนือกว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่นๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังพบอีกว่าสารไลโคพีนช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูก หมากได้มากถึงร้อยละ 20 สารไลโคพีนพบมากในมะเขือเทศแดงสด แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง
      มนุษย์รับประทานมะเขือเทศเป็นอาหาร ผัก รวมทั้งเครื่องดื่ม นอกจากมะเขือเทศจะมีรสชาติที่อร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณค่าทางอาหารมากมาย มะเขือเทศมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycopersicon esculentum เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae มะเขือเทศเป็นพืชล้มลุกอายุประมาณหนึ่งปี เติบโตเร็ว ลำต้นมีขนปกคลุม มีกลิ่นเฉพาะตัว ใบหยักเว้าลึก ดอกสีเหลืองรูปดาว ผลฉ่ำน้ำ ผลมะเขือเทศอาจมีรูปร่างกลมหรือรี สีเหลือง ส้ม หรือแดง
   ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา  
      มะเขือเทศเป็นแหล่งวิตามิน A, B, C, E และแร่ธาตุโพแทสเซียม

      น้ำจากผลมะเขือเทศที่คั้นใหม่ๆ ใช้ทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียน และสวยงาม
      น้ำคั้นจากผลมะเขือเทศมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างอ่อน เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคปีน จัดเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง แคโรทีนอยด์นี้เป็นเม็ดสีธรรมชาติที่ละลายในไขมันซึ่งให้สีเหลืองสด ส้ม แดง และเขียวสดกับผัก ผลไม้ อย่างเช่น แครอท ฟักทอง บร็อคโคลี่ ฯลฯ มีคุณสมบัติช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ทำให้อนุมูลของเซลล์ในร่างกายมีอนุภาคเป็นกลาง ช่วยหยุดยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของอนุมูลอิสระต่างๆ ไลโคปีนนี้จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุด ในมะเขือเทศมีไลโคปีนอยู่มากเหนือกว่าแตงโมเกือบสองเท่า การกินมะเขือเทศเป็นประจำ ก็จะช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระได้มาก จะช่วยชะลอความแก่ชรา และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอย่างเช่น มะเร็ง หรือโรคหัวใจได้มาก
      น้ำคั้นจากผลมะเขือเทศยับยั้งการเกิดมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะในหนูทดลอง และช่วยลดอุบัติการการเกิดมะเร็งที่ระบบทางเดินอาหารได้อีกด้วย นอกจากนี้การรับประทานผลมะเขือเทศจะได้รับสารไลโคพีนที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อ การเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
      สารที่มีชื่อเรียกว่า tomatoside เป็น steroidal glycoside มีอยู่ในมะเขือเทศ แสดงคุณสมบัติของ interferon อาจใช้ป้องกัน และรักษาการติดเชื้อไวรัสในมนุษย์และสัตว์
      การศึกษาวิจัยใช้สารเล็คทินที่สกัดจากมะเขือเทศสีดา พิสูจน์ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อเบต้าฮีโมลัยติค สเตร็ปโตค็อคคัส กลุ่มบี
   องค์ประกอบทางเคมี  
      ผลมะเขือเทศ ประกอบด้วย กรดอินทรีย์ น้ำตาล คาโรทีนอยด์ วิตามิน A, B, C, E ส่วนเหนือดิน ลำต้นและใบ มีพิษ เพราะมีสาร steroidal saponins
    แคโรทีนอยด์ (carotenoids) เป็นสารสีธรรมชาติที่พบมากที่สุด พบในคลอโรพลาสต์ในรูป chromoproteins หากอยู่นอกคลอโรพลาสต์ จะพบเป็น acyclic carotenoids ซึ่ง carotenoids ที่เป็นสีของมะเขือเทศคือ lycopene มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งที่มดลูก และปอด อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมในตำรับยาที่ใช้ป้องกันอันตรายอันเกิดจากการ ผลิตอนุมูลอิสระที่ผิดปกติ
    อัลคาลอยด์ชนิด steroidal alkaloids เป็นกลุ่มสารที่ออกฤทธิ์รุนแรง จัดเป็นสารพิษ ในมะเขือเทศคือ tomatoside ซึ่งได้จากใบ และส่วนเหนือดิน ในผลสีเขียวจะมี alkaloid 0.03% แต่ในผลสุกไม่พบ alkaloid จึงไม่ควรรับประทานมะเขือเทศดิบ
      คุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ของ steroidal alkaloid ของพืชในวงศ์ Solanaceae จะทำปฏิกิริยากับสเตียรอลที่เซลล์ผิว เป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้ผิวหนังและเนื้อบุผิวระคายเคืองอย่างแรง มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา และใช้เป็นยาฆ่าแมลงมีคุณสมบัติยับยั้งเอมไซม์โคลีนเอสเตอเรส กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและต่อมาจะทำให้เป็นอัมพาต หากรับประทานในขนาดที่จะทำให้เกิดพิษจะระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างแรง
    ไลโคพีน    จากการศึกษาวิจัย พบว่าผู้ที่รับประทานมะเขือเทศปริมาณสูง จะมีระดับของสารต้านอนุมูลอิสระชนิด carotenoid lycopene สูงในเลือด สารดังกล่าวลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
      ไลโคพีน (lycopene) เป็นสารในตระกูลแคโรทีนอยด์ (carotenoid) พบมากในมะเขือเทศแดงสด ซอสมะเขือเทศ แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง
      ผู้ป่วยเตรียมผ่าตัดต่อมลูกหมากที่ได้รับประทานซอสมะเขือเทศในปริมาณสูงเป็น เวลา 3 สัปดาห์ พบว่าระดับไลโคพีนในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ลดความเสียหายของเซลเม็ดเลือดขาวและเซลต่อมลูกหมาก รวมทั้งลดระดับของสารพีเอสเอในเลือดอีกด้วย
      มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ มากมาย และเป็นแหล่งอาหารที่ดีสำหรับวิตามินซี วิตามินเค แร่ธาตุโปแตสเซียม และโบรอน สารอาหารในมะเขือเทศที่ได้รับความสนใจ คือ สารไลโคพีน ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ และช่วยในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย
      สารไลโคพีนมีประสิทธิภาพเหนือว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่นๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังพบอีกว่าสารไลโคพีนสามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งใน ต่อมลูกหมากได้มากถึงร้อยละ 20
   เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมะเขือเทศ 

     เคยมีคนทำวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของมะเขือเทศเอาไว้มากมาย อย่างเช่น พบว่าการกินอาหาร เช่น พาสต้าราดซอสมะเขือเทศทุกวันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จะช่วยลดอาการของมะเร็งต่อมลูกหมากลงได้ ส่วนในผู้หญิงสูงอายุหลังวัยหมดประจำเดือน การกินอาหารที่มีแคโรทีนอยด์ และไลปีนสูง เช่น แครอท หรือมะเขือเทศ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ แถมไลโคปีนปริมาณสูงๆ ยังช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลส่วนไม่ดี หรือ LDL ซึ่งช่วยให้โอกาสเกิดโรคหัวใจลดน้อยลงด้วย
     มีการศึกษาในประเทศฟินแลนด์ พบว่าผู้ชายวัยกลางคนที่มีระดับไลโคปีนในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด หัวใจวาย อัมพาต และโรคหลอดเลือดตีบมากขึ้น ส่วนในเนเธอร์แลนด์ก็เคยมีการศึกษาคล้ายๆ กัน พบว่าคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำหากได้รับไลโคปีนในปริมาณสูง จะช่วยลดอัตราการเกิดเส้นเลือดตีบ และการเกิดหัวใจวายได้
      ไม่เพียงแต่มะเขือเทศจะมีไลโคปีน เท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ อี และซี ซึ่งในวารสารสมาคมแพทย์แห่งสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่า วิตามินอี และซีทั้งสองตัวนี้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้ ส่วนวิตามินเอ ก็จะช่วยบำรุงสายตา และดีต่อสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส โดยเฉพาะผิวหน้า ในขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งเทล อะวิฟก็ศึกษาพบว่า ผู้ชายที่รับประทานซอสมะเขือเทศประมาณ 3 ใน 4 ถ้วยต่อวัน จะช่วยพัฒนาความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับโรคหืดหอบได้ถึง 45% ด้วย
       จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครรายงานว่าการได้รับไลโคปีนจากมะเขือเทศมากไปจะมี ผลเสียอย่างไรหรือเปล่า ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าหากเราเป็นคนชอบกินอาหารที่มีมะเขือเทศมากๆ แต่ก็เคยมีการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า การป้องกันมะเร็งให้ได้ผลโดยการกินมะเขือเทศ ควรได้ไลโคปีนในปริมาณอย่างน้อย 6.5 มก.ต่อวัน เทียบเท่ากับการกินอาหารที่มีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมหลักประมาณ 10 ครั้งต่อสัปดาห์ คนส่วนใหญ่มักไม่มีปัญหาอะไรกับการกินมะเขือเทศมากๆ เว้นแต่บางคนอาจพบว่าเกิดผื่นแดงบนผิวหนัง หรือในคนที่แพ้สารประเภทซาลิไซเลทในยาบางอย่างก็อาจเกิดอาการหายใจลำบากได้ หากเกิดอาการเช่นนี้ควรปรึกษาแพทย์ขอคำแนะนำที่ถูกต้องจะดีกว่า
      มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยทางเคมีด้านอาหาร และพืชการเกษตรกล่าวไว้ว่า การ กินมะเขือเทศแบบปรุงสุกจะช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหาร และไลโคปีนได้ดีกว่าแบบดิบ ถึงแม้ว่าการให้ความร้อนอาจลดปริมาณวิตามินซีลงไป แต่คุณค่าส่วนอื่นๆ ก็ยังดีกว่าอาหารอีกหลายชนิด แถมยังช่วยให้ไลโคปีนอยู่ในสภาพพร้อมถูกดูดซึมโดยร่างกายเราได้ทันทีอีกด้วย
      มะเขือเทศผลขนาดกลางๆ จะมีน้ำหนักประมาณ 5.3 ออนซ์ หรือ 148 มก. ให้พลังงานประมาณ 35 แคลอรี และโคเลสเตอรอลระดับ 0 ให้ใยอาหาร ไขมัน และโปรตีนอย่างละประมาณ 1 กรัม และคาร์โบไฮเดรตประมาณ 6 กรัม มีวิตามินเอ 20% วิตามินซี 40% โปแตสเซียม 10% และเหล็ก 2%
      มะเขือเทศแช่เย็นจะมีรสชาติ และสีผิวที่ซีดจางลง หากต้องการกินมะเขือเทศ ควรนำออกจากตู้เย็นวางทิ้งไว้ก่อนสักชั่วโมงหนึ่งเพื่อให้รสชาติที่ถูกกัก จากความเย็นกลับคืนมา


ข้อมูลจาก : http://women.thaiza.com/

เทคนิคการปลูกมะเขือเทศ

เทคนิคการปลูกมะเขือเทศ

สภาพอากาศที่เหมาะสม
ฤดูหนาว เป็นฤดูที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 18-28 องศาเซลเซียสซึ่งต้นจะแข็งแรงและติดผลมาก ถ้าความชื้นของอากาศและอุณหภูมิสูงจะทำให้ผลผลิตและคุณภาพลดลง และทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ง่าย
ปัญหาการปลูกมะเขือเทศในฤดูฝนคือ ในฤดูฝนมีความชื้นและอุณหภูมิเหมาะแก่การเจริญเติบโตของโรคหลายชนิด และมะเขือเทศบางพันธุ์ผลจะแตกง่ายเมื่อฝนตกแต่ถ้าต้องการจะปลูกมะเขือเทศใน ฤดูฝนสิ่งที่จะต้องปฏิบัติคือ
1. เลือกพื้นที่ปลูกที่สูงมีการระบายน้ำดีเป็นพิเศษ
2. ดินมีสภาพเป็นกลาง คือมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6.5-6.8
3. ใช้พันธุ์ที่เหมาะสมคือให้ผลดกในฤดูฝนและฤดูร้อน
4. มีการปฏิบัติรักษาอย่างถูกต้องดีคือ เตรียมดินใส่ปุ๋ยถูกต้อง ฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและบ่อยครั้งเป็นพิเศษ อย่าปล่อยให้โรคทำลายก่อนแล้วจึงคิดป้องกันกำจัด ปกติผู้ปลูกที่ประสบความสำเร็จมักใช้สารป้องกันกำจัดแมลงและเชื้อราสูงกว่า ในฤดูปกติ
สภาพดินและการเตรียมดิน
ดินที่เหมาะสมในการปลูกมะเขือเทศมากที่สุดควรเป็นดินร่วนมีอินทรียวัตถุสูงและมีการระบายน้ำดี ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) ประมาณ 6.5-6.8 ถ้า ดินเป็นกรดหรือด่างมากเกินไปจะทำให้ดินขาดธาตุอาหารบางอย่างได้ หรือธาตุอาหารบางชนิดสามารถละลายออกมาได้มากเกินไปจนเป็นเหตุให้เป็นพิษต่อ ต้นพืช สามารถทราบปริมาณธาตุอาหารต่าง ๆ ในดินบริเวณ  โดยการส่งตัวอย่างดินไปวิเคราะห์
การปลูกมะเขือเทศโดยทั่วไปไม่ควรปลูกซ้ำที่เดิม หรือในพื้นที่ปลูกพืชในตระกูลเดียวกันกับมะเขือเทศมาก่อน เช่น พริก มะเขือและยาสูบ เป็นต้น เพราะอาจมีเชื้อโรคต่าง ๆ สะสมอยู่ในดิน ซึ่งเป็นโอกาสให้มะเขือเทศเป็นโรคได้ง่าย
การเตรียมดินสำหรับปลูกมะเขือเทศต้องพิถีพิถันเป็น อย่างมาก ดินต้องมีการระบายน้ำดี กำจัดวัชพืชให้หมด เพราะวัชพืชนอกจากจะแย่งน้ำ อาหารและแสงแดดแล้วยังเป็นที่อยู่อาศัยของโรคและแมลงได้อย่างดีอีกด้วย ดังนั้น ถ้าหากมีการเตรียมดินให้ดีตั้งแต่เริ่มแรกจะป้องกันการงอกของวัชพืชไปได้นาน ควรเตรียมดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร  ถ้าใช้เครื่องทุ่นแรงหรือรถไถ 2-3 ครั้ง โดยไถกลบดินไปมาและตากดินให้แห้ง 3-4 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียดพอควร อย่าให้ละเอียดมากเกินไป เพราะมะเขือเทศต้องการสภาพดินที่มีการระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ ถ้าหากดินเป็นกรดหรือเสื่อมสภาพจากปุ๋ยเคมี ให้ใช้สารปรับสภาพดินชนิดน้ำ ไดนาไมท์ อัตราตามที่แนะนำ (ไดนาไมท์ 1 ลิตรต่อพื้นที่ 3-5 ไร่ ผสมน้ำและปล่อยไปกับระบบน้ำ) หรือ ผสมน้ำ อัตรา 100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตรฉีดพ่นบริเวณผิวดินให้ชุ่มทั่วแปลง  ก่อนการเพาะปลูก 2 อาทิตย์

การเพาะกล้า
ทำได้ 2 วิธี คือ
1. กระบะ เพาะ นิยมใช้ในกรณีที่ต้องการต้นกล้าจำนวนไม่มากนัก การเพาะกล้าโดยวิธีนี้จะสามารถเพาะได้ดีเนื่องจากใช้ดินจำนวนน้อยสามารถนำ ดินมาอบฆ่าเชื้อโรคก่อนทำการเพาะได้ สารเคมีที่ใช้ในการอบดินได้แก่ เมทิลโบรโมด์ คลอโรพิคริน หรือจะใช้เมอร์คิวริคคลอไรด์ ในอัตรา 1 ส่วน ต่อน้ำ 2,000 ส่วน นำไปรดดินที่จะเพาะ แล้วทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ก่อนเพาะ แต่ถ้าหากไม่สามารถจะทำได้ก็ใช้วิธีนำดินไปอบด้วยไอน้ำร้อน หรือตากดินที่จะใช้เพาะให้ดีก่อนประมาณ 3-4 อาทิตย์ หรือเลือกดินที่ปราศจากโรคมาเป็นส่วนผสม โดยสังเกตว่าดินนั้นปลูกพืชแล้วพืชไม่เคยเป็นเคยเป็นโรคมาก่อน หรือเป็นดินที่ไม่เคยปลูกพืชมาก่อนก็ใช้ได้ กระบะที่ใช้เพาะเมล็ดควรมีขนาดประมาณ 45 x 60 เซนติเมตร (หรือภาชนะที่พอจะหาได้) ลึกไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีรูระบายน้ำได้ใส่ดินที่ร่อนแล้ว 3 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน ทรายหรือแกลบ 1 ส่วนคลุกเคล้าให้เข้ากันปรับผิวหน้าดินให้เรียบ แล้วโรยเมล็ดเป็นแถวโดยการใช้ไม้ทาบเป็นร่องเล็ก ๆ ระยะห่างกันระหว่างแถวประมาณ 5-7 เซนติเมตร แล้วกลบเมล็ดด้วยแกลบหรือทรายบาง ๆ แล้วรดน้ำให้ชุ่มใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตราส่วน 100 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร(1:200) ผสมน้ำรด เพื่อป้องกันมด แมลงเข้าทำลาย และกระตุ้นการงอกของเมล็ดได้ดี
เมื่อกล้าอายุได้ 15 วัน หรือมีใบจริง 2 ใบ ให้ย้ายกล้าลงใส่ถุงพลาสติกขนาด 4 x 6 นิ้ว ซึ่งบรรจุดินผสมอยู่ อาจใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตราส่วน 100 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร(1:200) ผสมน้ำรดอีก 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต เพิ่มความแข็งแรงให้กล้า  ทำให้สามารถย้ายลงปลูกได้เร็วขึ้น เมื่อกล้าสูงประมาณ 1 คืบหรือมีอายุ 30-35 วัน  จึงทำการย้ายกล้าลงแปลงปลูก โดยใช้มีดกรีดถุงพลาสติกให้ขาดเพื่อไม่ให้รากกระทบกระเทือน  ก่อนย้ายกล้าควรงดให้น้ำ 1 วัน เพื่อให้ดินในถุงจับตัวแน่น จะสะดวกต่อการย้ายกล้ามาก อย่างไรก็ตามเมื่อกล้ามีใบจริง 2-3 ใบ หากไม่ย้ายกล้าลงถุงพลาสติกก็ควรชำต้นกล้าให้เป็นแถวในแปลงชำซึ่งเตรียมดินให้ร่วนซุยโดยการใส่วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียวสูตร เข้มข้น (แถบเขียว) ในอัตรา 1-2 กำมือต่อ 1 ตารางเมตร ขนาดแปลงชำกว้าง 1 เมตร ความยาวแล้วแต่พื้นที่และปริมาณของต้นกล้า ระยะปลูกระหว่างแถว 10 เซนติเมตร ระหว่างต้น 10 เซนติเมตร และเมื่อกล้าสูงประมาณ 1 คืบ หรือมีอายุ 30-35 วัน ก็ย้ายลงแปลงปลูกจริง โดยก่อนย้ายจะต้องรดน้ำในแปลงชำให้ชุ่มเสียก่อน เพื่อความสะดวกในการถอนต้นกล้า และรากต้นกล้าจะไม่ขาดและกระทบกระเทือนมาก
2. แปลงเพาะ นิยมใช้ในกรณีที่ต้องการต้นกล้าเป็นจำนวนมาก สำหรับขนาดแปลงเพาะก็เช่นเดียวกับแปลงชำ คือขนาดกว้าง 1 เมตร ความยาวแล้วแต่พื้นที่หรือปริมาณกล้าที่ต้องการ ทางเดินระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร ผสมดินด้วยปุ๋ยคอกและทรายตามอัตราส่วน 3: 1 เช่นกัน ทำการเพาะเมล็ดโดยโรยเมล็ดเป็นแถวห่างกัน 10 เซนติเมตร ใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตราส่วน 100 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร(1:200) ผสมน้ำรด เพื่อป้องกันมด แมลงเข้าทำลาย และกระตุ้นการงอกของเมล็ดได้ดี  เมื่อกล้ามีอายุ 25-30 วัน หรือมีใบจริง 2-3 ใบ ก็สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้ แปลงเพาะควรมีตาข่าย หรือผ้าดิบคลุมแปลงเพื่อป้องกันแดด ลม และฝน ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ต้นอ่อนให้ถึงตายหรือเกิดโรคได้ ถ้าจะให้ได้ผลดีควรเปิดให้รับแสงแดดถึง 3 โมงเช้าและเปิดอีกครั้งเมื่อ 4 โมงเย็น ในกรณีที่หาวัสดุหรือผ้าคลุมแปลงไม่ได้และไม่ใช่ฤดูฝน อาจจะใช้ฟางข้าวใหม่มาคลุมบาง ๆ หลังจากโรยเมล็ดและกลบดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อเมล็ดงอกแล้วค่อย ๆ ดึงเอาฟางออกบ้างเพื่อให้ต้นกล้าโผล่พ้นฟางได้ง่ายและต้นกล้าจะได้แข็งแรง เนื่องจากเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศนั้นมีราคาแพง ดังนั้น ก่อนจะเพาะกล้า ควรจะได้ทดลองหาความงอกของเมล็ดเสียก่อนว่ามีความงอกเท่าไร (กี่เปอร์เซ็นต์) โดยใช้วิธีเพาะเมล็ดในกระดาษเพาะเมล็ดโดยตรงหรือถ้าไม่มีก็ใช้กระดาษฟางชื้น หรือในกระบะทรายก็ได้โดยใช้เมล็ด 100 เมล็ด หลังจากเพาะได้ 10-15 วัน นับจำนวนต้นที่งอกเป็นเปอร์เซ็นต์ความงอกของเมล็ด
การปลูก
แปลงปลูกควรไถพรวนและปรับระดับดินให้เรียบสม่ำเสมอกันแล้วยกแปลงให้สูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 100 เซนติเมตร ปลูกเป็นแถวคู่ระยะระหว่างแถว 70 เซนติเมตร ระหว่างต้น 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมปลูกด้วย วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง)  อัตรา 1 กำมือต่อหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากันและโรย ชีวภัณฑ์กำจัดโรครา ไตรโคแม็ก อัตรา 5 กรัม ต่อหลุม เพื่อป้องกันโรคเหี่ยวเหลืองและป้องกันกล้าเน่าตาย แล้วจึงย้ายกล้าลงหลุมปลูกหลุมละ 1-2 ต้น กลบดินให้เสมอระดับผิวดินอย่าให้เป็นแอ่งหรือเป็นหลุม เพราะจะทำให้น้ำขังและต้นกล้าเน่าตายได้ ถ้าปลูกขณะที่ฤดูฝนยังไม่สิ้นสุด แต่ถ้าปลูกในฤดูหนาวหรือฤดูแล้งควรจะกลบดินให้ต่ำกว่าระดับหลุมเล็กน้อย

สำหรับการย้ายกล้าลงแปลงปลูกนี้ต้องเลือกต้นกล้า ที่มีลักษณะดี มียอดและปราศจากโรคและแมลงรบกวน ถ้าเป็นการย้ายกล้าจากแปลงเพาะหรือแปลงชำมาลงปลูกโดยตรง ควรย้ายปลูกในเวลาที่อากาศไม่ร้อนคือในตอนบ่ายหรือตอนเย็น เมื่อย้ายเสร็จให้รีบรดน้ำตามทันทีจะทำให้กล้าตั้งตัวได้เร็วขึ้น และเปอร์เซ็นต์การตายน้อยลง แต่ถ้าเป็นการย้ายกล้าที่ชำในถุงพลาสติก สามารถย้ายลงแปลงได้ทุกเวลา กล้าจะตั้งตัวได้เร็วและรอดตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
หลังจากย้ายกล้าแล้วรดน้ำกล้าให้ชุ่มทุกเช้า-เย็น เมื่อกล้าตั้งตัวดีแล้ว จึงควรรดน้ำเพียงวันละครั้งในบางแห่งอาจจะให้น้ำแบบเข้าตามร่องแปลงจนชุ่ม แล้ว ปล่อยน้ำออก วิธีนี้สามารถจะทำให้มะเขือเทศได้รับน้ำอย่างเต็มที่และอยู่ได้ถึง 7-10 วัน
การพรวนดินกลบโคนต้น
เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้แล้วควรพรวนดินกลบโคนต้น โดยเปิดเป็นร่องระหว่างแถว เพื่อให้การให้น้ำทำได้สะดวก น้ำไม่ขัง และทำให้รากมะเขือเทศเกิดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นแข็งแรงมากขึ้น และการพรวนดินกลบโคนก็เป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัวด้วย หลังจากพรวนดินกลบโคนครั้งแรกแล้ว หลังจากนั้นอีก 1 เดือนให้ทำการกลบโคนอีกครั้งหนึ่ง
การให้น้ำ
มะเขือเทศต้องการน้ำสม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงผลเริ่มแก่ (ผลมีการเปลี่ยนสี) หลัง จากนั้นควรลดการให้น้ำลง มิฉะนั้นอาจทำให้ผลแตกได้ การรดน้ำมากเกินไปจะทำให้ดินชื้น ซึ่งทำให้เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคเน่าเจริญได้ดี แต่หากมะเขือเทศขาดน้ำ และให้น้ำอย่างกะทันหันก็จะทำให้ผลแตกได้เช่นกัน
การให้ปุ๋ย

          ทางดิน
หลังจากย้ายกล้าลงหลุมปลูกแล้ว  แนะ นำให้ใส่ปุ๋ยเคมีเสริมด้วย เพื่อให้คุณภาพและผลผลิตของมะเขือเทศสูงขึ้น สำหรับปุ๋ยเคมีที่จะใช้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของดินแต่ละแห่ง เช่น ถ้าดินเป็นดินเหนียว ปุ๋ยเคมีที่ใช้ควรมีไนโตรเจนและโปแตสเซี่ยมเท่ากัน ส่วนฟอสฟอรัสให้มีอัตราสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15 ถ้าเป็นดินร่วนควรให้ปุ๋ยที่มีโปแตสเซี่ยมสูงขึ้น แต่ไม่สูงกว่าฟอสฟอรัส เช่นสูตร 10-20-15 ส่วนดินทรายเป็นดินที่ไม่ค่อยจะมีโปแตสเซี่ยม จึงควรให้ปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซี่ยมสูงกว่าตัวอื่น เช่นสูตร 15-20-20, 13-13-21 และ 12-12-17 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการปลูกมะเขือเทศนอกฤดูจะต้องใช้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เนื่องจากมะเขือเทศจะใช้ปุ๋ยไนโตรเจนมากถ้าหากอุณหภูมิของอากาศสูง โดยในแต่ละช่วงของการใส่ให้ผสม วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียวสูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) ในอัตรา ยักษ์เขียว 2 ส่วน ต่อ ปุ๋ยเคมี 1 ส่วน เพื่อปรับสภาพดินและกระตุ้นการทำงานของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน  ทำให้พืชตอบสนองต่อปุ๋ยเคมีได้ดีขึ้น  โดยการแบ่งใส่ 3 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 หลังจากย้ายปลูก 7 วัน ใส่ ยักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) 2 ส่วน + เคมี 1 ส่วน   รวมอัตรา  50 กิโลกรัมต่อไร่
ครั้งที่ 2 หลังจากครั้งที่หนึ่ง 15 วัน ใส่ ยักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) 2 ส่วน+ เคมี 1 ส่วน   รวมอัตรา  50 กิโลกรัมต่อไร่
ครั้งที่ 3 หลังจากครั้งที่สอง 20 วัน หรือช่วงที่เริ่มติดผลเป็นเม็ดแล้ว ใส่ ยักษ์เขียว สูตรเข้มข้นพิเศษ(แถบทอง) 2 ส่วน + เคมี 1 ส่วน   อัตรา  75 กิโลกรัมต่อไร่
2.    ในพื้นที่ที่มีการปลูกซ้ำที่เป็นประจำทุกปี  ควรมีการนำดินตัวอย่างไปวิเคราะห์ ซึ่งหากพบว่าในดินมีการสะสมของฟอสฟอรัส ค่อนข้างสูง  ในฤดูการถัดไป  อาจใช้ปุ๋ยเคมีที่มีสัดส่วนฟอสฟอรัส ต่ำลงมา และเน้นการใช้ ปุ๋ยวัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียวซึ่ง สารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยจะกระตุ้นให้จุลินทรีย์ในดินที่เป็นประโยชน์ ช่วยย่อยธาตุอาหารที่ตกค้างจากปุ๋ยเคมี ทำให้สภาพดินสมดุล และช่วยลดโอกาสเกิดโรคเน่าทางดิน
3.    แนะนำให้มีการสุ่มตรวจ วิเคราะห์ดินก่อนเพาะปลูก เพื่อเป็นแนวทางการใช้ปุ๋ยเคมี  เนื่องจากพื้นที่ ๆ ปลูกซ้ำทุก ๆ ปี  จะ มีการสะสมของธาตุอาหารส่วนเกินที่ตกค้างและหลงเหลือจากการที่พืชนำไปใช้ไม่ หมด ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เป็นพิษกับพืช หรือเกิดกักธาตุอาหารซึ่งกันและกัน ทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้  ทำให้ผลผลิตลดลง  และต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น
การให้ปุ๋ยและฮอร์โมนทางใบ
1.    ใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) อัตรา 30-40  ซีซี/น้ำ 20 ลิตร  ฉีดพ่นเป็นประจำ ทุก ๆ 7-10 วัน ทำให้ต้นแข็งแรง ทนต่อโรคและเจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตได้เร็ว ติดดอกและผลดกมาก
2.    ในช่วงที่ต้นมีผลผลิตจำนวนมาก ให้สลับใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรเร่งขนาดผล) อัตรา 20-30 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ทำให้ผลผลิตได้น้ำหนักดีมาก
3.    ฉีดพ่นเสริมด้วยอาหารเสริมทางใบ โดยผสม ธาตุอาหารรองและเสริม คีเลทอัตรา 5 กรัม + แคลเซียมโบรอน ชนิดน้ำ แคลแม็ก อัตรา 15-30 ซีซี ผสมกับน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 7-10 วัน
การปักค้าง
พันธุ์ที่ทอดยอดหรือพันธุ์เลื้อยจำเป็นต้องมีการ ปักค้างโดยใช้ไม้หลักปักค้างต้นก่อนระยะออกดอก โดยใช้เชือกผูกกับลำต้นให้ไขว้กันเป็นเลข 8 และผูกเงื่อนกระตุกกับ ค้างเพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้ดี สะดวกต่อการดูแลรักษา ฉีดสารป้องกันแมลงได้ทั่วถึง ผลไม่สัมผัสดิน ทำให้ผลสะอาดและสะดวกต่อการเก็บเกี่ยว
แมลงและการป้องกันกำจัด
สำหรับแมลงที่เป็นปัญหาต่อการปลูกการดูแลรักษา มะเขือเทศที่สำคัญคือแมลงปากดูด เช่น แมลงหวี่ขาว เพลี้ยอ่อน ซึ่งเป็นตัวนำเชื้อโรคไวรัสมาสู่มะเขือเทศ ทำให้เกิดอาการได้หลายอย่าง เช่น ใบหงิก ยอดหด ปลายยอดแหลมเรียวเล็ก สีใบซีดด่าง ซึ่งเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นแล้วก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ จึงควรหาทางป้องกันไว้ก่อน โดยหากใช้ไบโอเฟอร์ทิล (สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ตามคำแนะนำแล้ว จะป้องกันแมลงเหล่านี้เข้าทำลายได้ดี  หากในพื้นที่มีการปลูกมะเขือเทศมาก  และเคยมีการระบาดอย่างรุนแรง  แนะนำให้ผสมไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น  ไล่แมลง) + ชีวภัณฑ์กำจัดแมลง(ปลอดสารพิษ) "พีแม็ก" + "เมทาแม็ก" + สารจับใบ  อัตราตามที่แนะนำข้างภาชนะบรรจุ ฉีดพ่นเป็นประจำทุก ๆ 5-7 วัน
หรือหากใช้สารเคมี ก็ให้ใช้ อาทิ แลนเนท มาลาไธออน ทามารอน โตกุไธออน อโซดริน หรือซูมิไซดริน อัตราส่วนที่แนะนำข้างภาชนะบรรจุ  โดยอาจผสมร่วมกันในครั้งแรกเพื่อฉีดพ่น  หลังจากนั้นครั้งต่อ ๆ ไป จนถึงเก็บเกี่ยว ก็สามารถใช้ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) เพียงอย่างเดียว โดยฉีดพ่นทุก ๆ  5-10 วัน เพื่อบำรุงต้น กระตุ้นดอก และป้องกันแมลงศัตรูพืชเข้าทำลายในแปลง  (ระยะเวลาการเว้นช่วงการใช้แต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับผลผลิตและความเสี่ยงในการระบาดของแมลงในพื้นที่นั้น ๆ)    โดยหมั่นสังเกตแมลงศัตรูที่เล็ดลอดเข้ามาในแปลง หากพบจึงใช้ร่วมกับสารเคมีกำจัด(ในบางพื้นที่ ที่มีการระบาดของแมลงมาก และเกษตรกรมีการปลูกพืชชนิดเดิมซ้ำที่มานาน  สามารถประยุกต์ใช้ ไบโอเฟอร์ทิล(สูตรบำรุงต้น ไล่แมลง) ผสมร่วมกับสารเคมีกำจัดแมลง  ก็จะทำให้ยืดระยะเวลาการใช้สารเคมีครั้งต่อไปได้ 2-3 เท่า)
โรคและการป้องกันกำจัด  สำหรับโรคซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในการปลูกมะเขือเทศ หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ร่วมกับ ชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดโรครา "ไตรโคแม็ก" อัตราตามระบุที่ฉลาก เป็นประจำ จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่า มะเขือเทศจะมีเปอร์เซ็นต์การถูกทำลายจากโรคซึ่งเกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรียลดลง ลดต้นทุนการใช้ยากำจัดโรค และผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 30-40 % โดยข้อมูลรายละเอียดและการแก้ไขของโรคมีดังนี้
โรคผลเน่าแห้งสีดำหรือปลายผลดำ
ลักษณะอาการ ผลมะเขือเทศในที่บางแห่งมีอาการทั้งผลอ่อนเน่าที่ก้นหรือปลายผล อาการเน่าแบบแห้งเป็นสีน้ำตาล เนื้อเยื่อบุ๋มลึกลงไปต่ำกว่าระดับเดิมเล็กน้อย ขนาดของแผลขยายใหญ่ออกไปเรื่อย ๆ บางผลเน่าประมาณ 1 ใน 3 ของผลทำให้ผลร่วง
สาเหตุของโรค
1. ขาดธาตุแคลเซี่ยม
2. ความชื้นในดินที่ปลูกแห้งมาก
การป้องกันกำจัด
1. ควรให้น้ำทุกวันโดยสม่ำเสมอและไม่มากหรือน้อยเกินไป
2. ใช้ วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์แท้ เกรด AAA ตรายักษ์เขียว และฉีดพ่น ไบโอเฟอร์ทิล เสริมด้วย "แคลแม็ก" เป็นครั้งคราวตามคำแนะนำข้างต้นแล้ว จะปราศจากปัญหาดังกล่าว
โรคใบแห้ง
ลักษณะอาการ มะเขือเทศจะแสดงอาการของโรคได้ทุกส่วนของต้น เช่น ใบเริ่มมีจุดฉ่ำน้ำ สีเขียวหม่น เนื้อเยื่อรอบ ๆ แผลมีสีเหลืองเล็กน้อย ส่วนมากแผลเกิดขึ้นที่จุดหนึ่งบนขอบใบก่อนแล้วขยายใหญ่กว้างออกไปจนเกือบหมด ทั้งใบ ด้านท้องใบมีเส้นใยของเชื้อราเกิดขึ้น มีลักษณะเป็นผงสีขาว เป็นวงกลมตามแผล 2-3 ชั้น แผลจะแห้งเป็นสีน้ำตาลภายในเวลาอันรวดเร็ว ตามก้านใบ ลำต้น ก็มีแผลแบบเดียวกัน ทำให้ส่วนนั้น ๆ เหี่ยวแห้งตายไป ผลมะเขือเทศอ่อนที่เป็นโรคนี้จะมีแผลสีน้ำตาลเช่นกัน และทำให้ผลสุก มีผิวแตกและมีเชื้อราขึ้นตรงรอยแตกเห็นได้ชัดเจนจัดเป็นโรคที่สำคัญทางภาค เหนือ
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา
การป้องกันกำจัด
1. ใช้ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดเชื้อรา(ปลอดสารพิษ) "ไตรโคแม็ก"  อัตรา 50-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน
2. ใช้พันธุ์ที่มีความต้านทานโรคนี้ปลูก หมายเหตุ เชื้อราจะระบาดมากในระยะที่มีความชื้นสูง 90% และมีอุณหภูมิประมาณ 10-20 องศาเซลเซียส 
ลักษณะอาการ โรคใบจุดที่เกิดกับมะเขือเทศจะทำให้เกิดจุดได้หลายแบบ เช่น จุดวงกลมสีน้ำตาลและจุดเหลี่ยม ซึ่งทำให้ใบเหลืองและแห้ง และมีราขึ้นเป็นผงสีดำคล้ายกำมะหยี่จุดดังกล่าวด้วย
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อราได้หลายชนิด
การป้องกันกำจัด ควรฉีดพ่นชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดเชื้อรา(ปลอดสารพิษ) "ไตรโคแม็ก"    อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก ๆ 5-7 วัน เสมอ ๆ ถ้ามีการระบาดมากใช้สารพวกไอโพรไดโอนรอฟรัล ฉีดพ่นตามคำแนะนำที่ฉลาก แล้วสลับด้วยสารป้องกันกำจัดราอื่น ๆ
หมายเหตุ เชื้อราบางชนิดมักจะเป็นโรคบนใบแก่หรือต้นแก่ซึ่งในระยะนี้ต้นเสื่อมโทรม การฉีดพ่นสารกำจัดเชื้อราจะไม่คุ้มค่า
โรคเหี่ยวเหลืองตาย
ลักษณะอาการ จะเริ่มเกิดจากใบที่อยู่ตอนล่าง ๆ ก่อน โดยใบล่างจะเหลืองแล้วค่อยลุกลามขึ้นมาบนต้นในเวลากลางวันที่มีอากาศร้อนจัด ต้นจะแสดงอาการเหี่ยว เวลากลางคืนก็กลับปกติ อาการเหี่ยวค่อย ๆ มากขึ้นจนในที่สุดยอดเหี่ยวตาย เมื่อถอนรากขึ้นมาตรวจดูเนื้อเยื่อซึ่งเป็นท่อทางเดินอาหารและน้ำมีสีน้ำตาล ดำ โคนต้นและรากผุเปื่อยมักจะมีราเป็นผงสีขาวอมชมพูบางๆ ขึ้นตรงส่วนที่เป็นสีน้ำตาล
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา
การป้องกันและกำจัด
1. ต้องแก้ไขปรับปรุงดินโดยการใส่ปูนขาว และกากพืชหรืออินทรียวัตถุให้เพียงพอ
2. ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ให้น้อยลง
3. ก่อนลงปลูกให้โรย ชีวภัณฑ์กำจัดโรครา ไตรโคแม็ก อัตรา 5 กรัมต่อหลุม
4. ปลูกพืชหมุนเวียนอย่างอื่นสลับ
โรคเกิดจากการขาดธาตุอาหาร
ลักษณะอาการ การขาดธาตุอาหารที่ปรากฏในมะเขือเทศมักจะรุนแรงมากกว่าพืชอื่น ๆ ลักษณะที่เห็นชัดเจนก็คือใบสีม่วงแดงขอบใบม้วนงอและชะงักการเจริญเติบโต ใบเล็กและหดสั้นบางต้น ใบยอดเนื้อใบซีดขาดตัดกับสีเขียวของเส้นใบชัดเจนและมีขนาดเล็กลง ไม่เจริญเติบโตไปตามปกติและเมื่อเป็นมาก ๆ ยอดแห้งตาย ฯลฯ
สาเหตุของโรค ขาดธาตุต่าง ๆ เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก แมงกานีส โบรอน สังกะสี แมกนีเซี่ยม ฯลฯ บางต้นมีอาการซับซ้อนเนื่องจากขาดธาตุรวมกันจนแยกอาการไม่ออก
การป้องกันจำจัด
1. ควรจะปรับสภาพของดินให้เหมาะสม คือมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 6-6.5 จะเป็นดินที่ธาตุอาหารต่าง ๆ ละลายได้มากและเป็นประโยชน์ต่อพืชมาก
2. ใช้ ธาตุอาหารรองและเสริม คีเลท ฉีดพ่นร่วมกับไบโอเฟอร์ทิล ตามคำแนะนำ ทุก ๆ 7-10 วัน  
โรคเหี่ยวเฉาตาย
ลักษณะอาการ มะเขือเทศบางพันธุ์มีอาการเหี่ยวเฉาตายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อถอนรากมาตรวจพบว่าลำต้นใต้ระดับดินและรากเน่าเปื่อย ถ้าตัดลำต้นตามขวางแล้วเอาไปแช่ในน้ำ จะปรากฏสีขาวข้นคล้ายยางเหนียวปูดออกมาตรงรอยแผลตัด ซึ่งเป็นน้ำเชื้อแบคที่เรีย
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
การป้องกันและกำจัด เชื้อโรคชนิดนี้ไม่ชอบดินที่เป็นด่าง อุณหภูมิสูง ความชื้นสูงและในดินที่ขาดไนโตรเจนเชื้อแบคทีเรียจะถูกทำลายโดยกำมะถัน ดังนั้น การแก้ไขป้องกันกำจัดโรคนี้ควรทำดังต่อไปนี้
1. ปลูกพืชหมุนเวียนสลับ
2. ใช้สารปรับสภาพดิน ไดนาไมท์ผสมน้ำ อัตรา 500 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นหลังเตรียมดินก่อนเพาะปลูก โดยฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณ
โรคราแป้ง
ลักษณะอาการ ใบจะมีสีเหลืองไม่สม่ำเสมอกัน ใบที่มีสีเหลืองมาก ๆ จะร่วงหล่นได้ง่าย เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคจะจับเป็นผงหรือขุยสีขาวคล้ายผงแป้ง ผงสีขาวนี้คือเส้นใยและสปอร์ของเชื้อราที่ขึ้นเป็นกลุ่ม กระจัดกระจายทั่วไปทางด้านท้องใบ เนื้อเยื่อด้านบนที่อยู่ตรงข้ามกันจะมีสีเหลือง
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา
การป้องกันกำจัด สารป้องกันกำจัดเชื้อราที่ใช้ต้องมีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดโรคนี้โดย ตรง เช่น กำมะถันผงชนิดละลายน้ำ คาลาเทน เบนเลท ฯลฯ ให้เลือกใช้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น สำหรับกำมะถันควรจะฉีดพ่นในเวลาเช้ามืดที่มีอากาศเย็นหรือในตอนเย็น ไม่ควรฉีดพ่นในเวลาที่มีแดดร้อนจัด เพราะจะทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้
โรคยอดหงิก
ลักษณะอาการ มะเขือเทศมีลำต้นแคระแกร็น ใบยอดด่างและหงิก ไม่ออกดอกออกผล
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อไวรัส
การป้องกันกำจัด
1. บริเวณเพาะกล้าต้องสะอาดปราศจากวัชพืชและฉีดยากำจัดแมลงพวกปากดูด เช่น แมลงหวี่ขาว โดยใช้สารเคมีประเภทดูดซึม
2. ให้ถอนทำลายต้นที่เป็นโรคทิ้ง
3. ถ้าสงสัยว่าจะมีวัชพืชอาศัยให้ทำลายให้หมด
4. ไม่ควรสูบบุหรี่หรือจับต้นที่เป็นโรคแล้วไปจับต้นที่ดี จะทำให้โรคระบาดติดต่อกันได้
โรคโคนเน่า
ลักษณะอาการ ระยะกล้า โคนต้นกล้ามะเขือเทศจะเกิดแผลสีน้ำตาล ลำต้นหักพับลง ระยะเริ่มติดดอก มะเขือเทศจะแสดงอาการเหี่ยวเฉาตาย บริเวณโคนต้นระดับผิวดินจะเกิดเป็นแผลยุบลงไป บริเวณแผลจะมีเส้นใยสีขาวของเชื้อราเกิดขึ้น ในกลุ่มเส้นใยนั้นจะเกิดเม็ดขยายพันธุ์ของเชื้อราเล็ก ๆ สีขาวต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและดำ มีขนาดเท่าเมล็ดผักกาด บางครั้งจึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคราเมล็ดผักกาด"
สาเหตุของโรค เกิดจากเชื้อรา
การป้องกันและกำจัด
1. ไถดินตากแดดไว้สักระยะหนึ่ง
2. ก่อนการเพาะเมล็ด ให้คลุกเมล็ดด้วย ไตรโค-แม็ก เพื่อป้องกันและกำจัดเชื้อราที่ติดมากับดินปลูก
3. ถ้าโรคเริ่มระบาดในแปลงปลูกเป็นหย่อม ๆ ให้ถอนต้นที่เป็นโรคทิ้งและใช้ ชีวภัณฑฑ์กำจัดเชื้อรา ไตรโค-แม็ก ผสมน้ำอัตรา 100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ราดบริเวณตรงจุดที่เกินโรคและบริเวณต้นใกล้เคียง กับจุดที่เป็นโรคนั้นให้ทั่วในพื้นที่ที่โรคนี้ชอบระบาดเนื่องจากมีเชื้อ อยู่ในดิน การราด ไตรโค-แม็กดังกล่าวในหลุมปลูกหลังจากย้ายปลูก 1-2 ครั้ง ก่อนมะเขือเทศออกดอกจะได้ผลดีกว่ารอให้พบว่ามีต้นตาย เพราะการป้องกันไว้ก่อนเป็นวิธีการที่ดีที่สุดจะสกัดกั้นความเสียหาย

การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับพันธุ์ แต่โดยเฉลี่ยแล้วเมื่อปลูกได้ประมาณ 30-45 วัน มะเขือเทศจะเริ่มออกดอก และจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 70-90 วัน และจากเริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยวหมดประมาณ 4-5 เดือน (ในแปลงของเกษตรกรที่ใช้ไบโอเฟอร์ทิล เป็นประจำ จะเก็บเกี่ยวได้นานเพิ่มขึ้น เฉลี่ยประมาณ 1 เดือน)
การผลิตและเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์
พันธุ์มะเขือเทศที่ปลูกหากไม่ใช่เป็นพันธุ์ลูกผสม แล้ว เกษตรกรก็สามารถจะทำการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เองต่อไปได้ โดยจะต้องคัดเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์จากต้นซึ่งสมบูรณ์มีการเจริญเติบโตดี ปราศจากโรคและแมลงรบกวน มีผลดกซึ่งมีคุณภาพดีตรงตามพันธุ์ ถ้าในบริเวณเดียวกันนั้นมีการปลูกมะเขือเทศหลายพันธุ์ก็จำเป็นจะต้องเลือก เก็บพันธุ์จากต้นซึ่งอยู่กลางแถว ไม่ควรเก็บจากต้นซึ่งอยู่แถวนอก ทั้งนี้เนื่องจากในธรรมชาติมะเขือเทศจะเป็นพืชที่มีการผสมตัวเองก็ตามแต่ เปอร์เซ็นต์การผสมข้ามก็มีอยู่บ้าง โดยลมและแมลงเป็นสื่อช่วยผสม จะพบมากกับพันธุ์ที่มีก้านชูเกสรตัวเมียยืดยาวโผล่พ้นออกมาจากหมวกเกสรตัว ผู้
การเลือกต้นมะเขือเทศสำหรับเก็บเมล็ดพันธุ์จะต้อง คอยสังเกตทุกระยะการเจริญเติบโต เมื่อเลือกต้นได้แล้วควรหาไม้ปักต้นหรือทำเครื่องหมายที่ต้นเอาไว้เพื่อแสดง ว่าเป็นต้นที่จะเก็บเมล็ดพันธุ์แล้วปล่อยให้ผลสุกแดงคาต้น เมื่อเก็บผลมาแล้ว ทำการแยกเมล็ดออกจากผลถ้ามีจำนวนน้อยควรใช้วิธีใช้มือบีบเมล็ดออกจากผล หรือใช้มีดผ่าแคะเอาเมล็ดออกมา ถ้าต้องการพันธุ์จำนวนมาก ๆ ให้นำผลใส่กระสอบปุ๋ยแล้วใช้เหยียบผลให้แตกจากนั้นหมักเมล็ดไว้ 1 คืน และห้ามถูกน้ำโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เมล็ดงอก รุ่งขึ้นนำเมล็ดที่หมักไว้นั้นไปล้างด้วยน้ำ โดยใช้ตะแกรงที่มีรูเล็ก ๆ หรือใช้ตาข่ายมุ้งลวดพลาสติกมาเย็บเป็นถุงใส่เมล็ดแล้วล้างด้วยน้ำประมาณ 2-3 ครั้ง จนสะอาดแล้วนำเมล็ดมาผึ่งบนเสื่อหรือกระด้ง ห้ามตากบนพื้นปูนหรือภาชนะโลหะเพราะทำให้เมล็ดร้อนเกินไปและตายได้ ขณะตากเมล็ดให้หมั่นเอามือกวนเมล็ดอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เมล็ดติดกัน เมื่อเมล็ดแห้งดีแล้วควรทำความสะอาดเมล็ดเอาฝุ่นผงและสิ่งเจือปนออกให้หมด แล้วเก็บเมล็ดใส่กระป๋องหรือถุงพลาสติกแล้วเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิและ ความชื้นต่ำ มีการถ่ายเทอากาศดีหรือเก็บเมล็ดไว้ในตู้เย็นจะสามารถเก็บเมล็ดได้นานหลายปี
อนึ่ง ในการหมักเมล็ดหากต้องการความสะอาดรวดเร็วไม่ต้องหมักเมล็ดค้างคืนก็ได้ โดยนำเมล็ดซึ่งได้แยกเนื้อออกแล้วตามกรรมวิธีข้างต้นมาใส่ในถังพลาสติกหรือ ภาชนะอื่น ๆ ที่ไม่ใช่โลหะ ใส่กรดเกลือเข้มข้น ในอัตราเมล็ดประมาณ 1 กิโลกรัมต่อกรด 10 ซีซี. โดยค่อย ๆ หยดกรดลงไปแล้วคนอยู่ตลอดเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดกรดแล้วผึ่งเมล็ดให้แห้งตามวิธีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น


ข้อสังเกตและเปรียบเทียบหลังจากผลิตภัณฑ์ไบโอเฟอร์ทิลและยักษ์เขียว ตามคำแนะนำ เป็นประจำ
1.    ต้นมะเขือจะสมบูรณ์ สามารถให้ผลผลิตมาก ขั้วเหนียว ดอกติดดกอย่างต่อเนื่อง ต้นไม่โทรมแม้แบกผลผลิตมาก  อายุการให้ผลผลิตของต้นจะมากกว่าแปลงที่ไม่ได้ใช้อย่างเห็นได้ชัด
2.    ผลจะมีคุณภาพดี ขนาดใหญ่สม่ำเสมอกัน ตั้งแต่ต้นถึงปลายช่วงของการเก็บเกี่ยว และสีผิวของผลจะสดและนวลเป็นมันกว่าสวนที่ไม่ได้ใช้
3.    แมลงศัตรูพืชที่เข้ามารบกวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะจำพวกผีเสื้อกลางคืนซึ่งเป็นตัวแม่ของหนอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงแมลงวันทอง และด้วงกัดกินใบ  ทำให้ประหยัดต้นทุนยากำจัดศัตรูพืช และลดความเสียหายได้ดีกว่า  (ในพื้นที่ที่มีการระบาดมาก หากใช้ไบโอเฟอร์ทิล ฉีดร่วมกับยากำจัดศัตรูพืช ก็จะทำให้สามารถคุมและป้องกันการเข้าทำลาย ได้นานขึ้น)
4.    ใบพืชจะเขียวเงาเป็นมัน อายุใบนานขึ้นทำให้ต้นไม่สูญเสียอาหารในการสร้างใบใหม่ (ไบโอเฟอร์ทิล เป็นสารธรรมชาติ ไม่กัดผิวใบทำให้ใบด้านเหมือนการใช้เคมีอย่างเดียว)
5.    สุขภาพผู้ปลูกดีขึ้น เนื่องจาก สัมผัสหรือจับต้องสารเคมีน้อยลง
6.    เมื่อใช้ร่วมกับ ยักษ์เขียว จะสามารถลดต้นทุน การใช้ปุ๋ยลงอีกประมาณ  50%
7.    การใช้ ยักษ์เขียว  ร่วมด้วยเป็นประจำ  จะทำให้ต้นทุนปุ๋ยและสารทางดินต่อชุดการผลิต ลดลงได้ประมาณ 50 % โดยที่ผลผลิตที่ได้ยังเป็นปกติหรือดีกว่าเดิม และสังเกตได้ว่าสารอินทรีย์ในเนื้อปุ๋ยทำให้สภาพดินดีขึ้น  ดินโปร่ง อุ้มน้ำได้ดี  ต้นทนแล้งได้ดีขึ้น  และพืชตอบสนองต่อการให้ปุ๋ยทางดินดีกว่าเดิม ในระยะยาวปัญหาเรื่องโรคทางดินน้อยกว่าแปลงข้างเคียงที่ไม่ได้ใช้ ผลในทางอ้อม  เนื่อง จาก ยักษ์เขียว เป็นสารอินทรีย์แท้ จึงกระตุ้นจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ให้ย่อยปุ๋ย(เคมี)ที่ตกค้างในดินทำให้ รากพืชสามารถดูดซึมกลับไปใช้ได้ ธาตุอาหารในดินจะสมดุลมากกว่า

การเกษตรเรื่องความรู้ทั่วไปมะเขือเทศ


การเกษตรเรื่องความรู้ทั่วไปมะเขือเทศ

มะเขือเทศมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycopersicon esculentum เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae มะเขือเทศเป็นพืชล้มลุกมีอายุ 1 ปี เติบโตเร็ว ลำต้นมีขนปกคลุม มีกลิ่นเฉพาะตัว ใบหยักเว้าลึก ดอกสีเหลืองรูปดาว ผลฉ่ำน้ำ ผลอาจมีรูปร่างกลมหรือรี สีเหลือง ส้ม หรือแดง นอกจากประเขือเทศจะนำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวานแล้วมะเขือเทศยังมี ประโยชน์อีกมากมาย

มะเขือเทศ
มะเขือเทศ

ประโยชน์ของมะเขือเทศ
  • ผลมีรสเปรี้ยวช่วยดับกระหายทำให้เจริญอาหาร บำรุงและกระตุ้นกระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีด้วยช่วยขับพิษและสิ่งคั่งค้างในร่างกายเป็นยาระบายอ่อน ๆ และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ ให้รับประทานผลสดลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ
  • ผิวหนังที่โดนแดดเผา โดยใช้ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็น
  • นำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทานแก้อาการปวดฟัน
  • นำน้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มรักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง
  • ช่วยลดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด รักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงสายตา และช่วยย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต และช่วยบรรเทาอาการป่วยของผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคตับอักเสบ โดยรับประทานมะเขือเทศสุกเป็นประจำ
  • คั้นน้ำมะเขือเทศสุกหรือปั่น ดื่มรับประทาน ลดอาการท้องอืดเฟ้อ และอาหารไม่ย่อย ช่วยดับกระหายคลายร้อน และช่วยรักษาโรคแผลร้อนใน
    มะเขือเทศ
    มะเขือเทศ
  • ประโยชน์ของสารสกัดจากมะเขือเทศ




    มะเขือ เทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมี วิตามินพี  ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง สารสกัดจากมะเขือเทศ มีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษา โรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย ในผลมะเขือเทศมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี มีในปริมาณสูง มีกลดมาลิค กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นต้น มะเขือเทศมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้ มะเขือเทศมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ ไลโคปีน ที่มีคุณสมบัติสามารถลดการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ หากทานมะเขือเทศ 10 ครั้ง/สัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ถึง 45% นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีเบต้าแคโรทีน และฟอสฟอรัสมาก ที่มะเขือเทศมีรสชาติอร่อยนั้น เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิคสูง กรดอะมิโนนี้เองเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้อาหาร ทั้งยังเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสด้วย รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่ม สารสกัดจากมะเขือเทศ สามารถ นำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบทั้งในแบบผัดผัก ข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ซุปทั้งใสและข้น ยำต่าง ๆ รวมไปถึงส้มตำอาหารอันโอชะของใครต่อใครหลายคนก็เหมือนจะขาดมะเขือเทศไม่ได้ เพราะนอกจากจะสร้างสีสันแล้วยังเพิ่มรสชาติให้อีกด้วย หากจะนำมาคั้นเป็นน้ำมะเขือเทศดื่มก็ชุ่มคอชื่นใจดีหรือทำเป็นซอสมาปรุงรส อาหารก็ได้ ในผลของมะเขือเทศนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จำนวนมาก มะเขือเทศช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระตุ้นน้ำย่อย ช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยการระบายการขับถ่ายให้สะดวกขึ้นอีกด้วย และมีการวิจัยกันว่าการดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งของต่อมลูกหมากที่คุณผู้ชายกลัวนักกลัวหนา นอกจากวิตามินซีที่มีสูงในมะเขือเทศแล้ว วิตามินอื่น ๆ ก็มีอยู่ครบทุกชนิด แถมเปลือกนอกของมะเขือเทศยังมีสารชนิดเดียวกับที่พบในเปลือกองุ่นแดงที่ เชื่อว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

    Posted in อาหารและยา

    Tuesday, October 16, 2012

    สรรพคุณของมะเขือเทศ

     

    ประโยชน์และสรรพคุณของมะเขือเทศนั้นมีมากมายจริง ๆ เลยค่ะ คุณผู้หญิงอยากจะมีผิวสวยเปล่งปลั่งมักจะเลือกที่จะรับประทานมะเขือเทศเป็น ของว่างอยู่เสมอ นอกจากจะบำรุงผิวพรรณแล้ว สรรพคุณมะเขือเทศ ยังมีมากกว่านั้นอีกค่ะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักนำ ประโยชน์ของมะเขือเทศ มาทำเป็นอาหารช่วยปรุงและแต่งเติมสีสันบนจานอาหารได้ดูน่าทานมากมายทีเดียว ค่ะ ประโยชน์และ สรรพคุณมะเขือเทศ ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้นะค่ะ เพราะมะเขือเทศยังจัดเป็นสมุนไพรไทยที่ช่วยรักโรคบางอย่างได้ดีอีกด้วยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาดู ประโยชน์และสรรพคุณมะเขือเทศกันดีกว่าค่ะ
    ประโยชน์และสรรพคุณของมะเขือเทศ

    มะเขือเทศสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบทั้ง ในแบบผัดผัก ข้าวผัด น้ำพริกอ่อง ซุปทั้งใสและข้น ยำต่าง ๆ รวมไปถึงส้มตำอาหารอันโอชะของใครต่อใครหลายคนก็เหมือนจะขาดมะเขือเทศไม่ได้ เพราะนอกจากจะสร้างสีสันแล้วยังเพิ่มรสชาติให้อีกด้วย หากจะนำมาคั้นเป็นน้ำมะเขือเทศดื่มก็ชุ่มคอชื่นใจดี หรือทำเป็นซอสมาปรุงรสอาหารก็ได้ ในผลของมะเขือเทศนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่จำนวนมาก

    มะเขือเทศช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระตุ้นน้ำย่อย ช่วยย่อยอาหาร และยังช่วยการระบายการขับถ่ายให้สะดวกขึ้นอีกด้วย และมีการวิจัยกันว่าการดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งของต่อมลูกหมากที่คุณผู้ชายกลัวนักกลัวหนา
    นอกจากวิตามินซีที่มีสูงในมะเขือเทศแล้ว วิตามินอื่น ๆ ก็มีอยู่ครบทุกชนิด แถมเปลือกนอกของมะเขือเทศยังมีสารชนิดเดียวกับที่พบในเปลือกองุ่นแดงที่ เชื่อว่ามีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

    ประโยชน์ของมะเขือเทศนอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีประโยชน์ต่อคุณผู้หญิงอีกด้วย ถ้าคุณเป็นคนรักสวยรักงามกลัวรอยเหี่ยวย่นจะมาเยือนเร็วเกินไป ลองนำมะเขือเทศสุกมาฝานเป็นแผ่นบาง ๆ แล้ววางแปะไว้บนหน้า หรือใช้น้ำมะเขือเทศคั้นสด ๆ ทาตามใบหน้าเชื่อกันว่าจะทำให้ผิวเต่งตึงมีน้ำมีนวลขึ้น
    ไม่เพียงแค่นั้นเมล็ดของมะเขือเทศยังเอามาปลูกเพื่อขยายพันธุ์ได้หรือนำ มาสกัดเอาน้ำมันเพื่อมาใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ อุตสาหกรรมสี และกากที่เหลือยังใช้เลี้ยงสัตว์กับเป็นปุ๋ยได้อีกด้วย
    เห็นไหมค่ะว่าประโยชน์และสรรพคุณของมะเขือเทศมีมากมายขนาดนี้แล้วอย่าลืมที่จะหันมาเลือกทานมะเขือเทศกันเยอะ ๆ นะค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก samunpri.com


    ประโยชน์จากมะเขือเทศ





    ชื่อวิทยาศาสตร์
    Lycopersicon esculentum Mill. วงศ์ Solanaceae
    ชื่ออังกฤษ
    Tomato, Cherry, tomato, Love apple, Wild tomato
    ชื่อท้องถิ่น
    ตรอบ (เขมร-สุรินทร์) ตีรอบ (เขมร)
    น้ำเนอ (ละว้า-เชียงใหม่) มะเขือส้ม (ภาคเหนือ)
    ฮวงเกีย (จีน)
    ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
    มะเขื่อเทศเป็นพืชล้มลุก สูง 1-2 เมตร ลำต้นและใบมีขน ใบ : เป็นในประกอบคล้ายขนนก ออกสลับกันยาว 10-14 เซนติเมตร ดอก : ออกเป็นช่อจากง่ามใบ ช่อหนึ่งมี 3-7 ดอก กลีบดอกสีเหลืองติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกเป็น 5-6 กลีบ ผล : รูปร่างและขนาดมีได้ต่างๆ กัน ส่วนใหญ่กลม กลมรีหรือกลมแบน มะเขือเทศเป็นพืชที่ชอบอากาศอบอุ่นและแสงแดด ผลเมื่อยังดิบมีสีเขียว แต่เมื่อสุกเต็มที่แล้วมีสีแดงอมส้มถึงแดง ผิวนอกเรียบเป็นมัน มีเนื้อฉ่ำน้ำภายในมีเมล็ดจำนวนมาก
    การใช้ในเครื่องสำอางและสรรพคุณทางยา
    • บำรุงผิวหน้าให้อ่อนนุ่มสดใส
      ในสตรีนิยมใช้น้ำมะเขือเทศสดพอกหน้าหรือใช้มะเขือเทศสุกฝานบางๆ แปะลงบนใบหน้า เนื่องจากวิตามินหลายชนิดในมะเขือเทศจะช่วยบำรุงผิวหน้าให้อ่อนนุ่ม สดชื่น นอกจากนี้น้ำจากผลมะเขือเทศสุกที่คั้นใหม่ๆ ใช้ทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวเนียนเนียนนุ่ม โดยน้ำผลมะเขือเทศมาบดให้ละเอียด เติมน้ำมะนาว 2-3 หยด ขั้นตอนการใช้เริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาด ทาครีมสำหรับใบหน้า วางชั้นสำลีแห้งบางๆ แล้วปิดด้วยสำลีที่ชุบน้ำมะเขือเทศที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ 15 นาที เอาสำลีออกแล้วทาครีมอีกครั้ง และเช็ดออกให้สะอาดด้วยสำลี ชุบน้ำมะเขือเทศ
      ผลทะเขือเทศนิยมใช้เป็นผักผลไม้สด ผลไม้ ประกอบอาหารหรือทำซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศเป็นเครื่องดื่ม
      การรับประทานผลสดที่มีไลโคปิน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนท์ (antioxidant)  ลดการเกิดมะเร็ง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
    • ยาระบายอ่อนๆ เจริญอาหาร
      ใช้ผลสดต้มน้ำแกงกินหรือกินสด
    • ต้น
      ยับยั้งเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคพืช
    • ใบ
      มีฤทธิ์ไล่แมลงและเพิ่มความต้านทานต่อแมลง
    สารสำคัญ
         ผล : มะเขือเทศมีวิตามินหลายชนิดเช่น thiamine, nicotinic acid, riboflavin, ascorbic acid, folic acid, pantothenic acid, biotin วิตามินเค นับว่าเป็นผักที่มีวิตามินเกือบครบ สารจำพวก carotenoid ที่พบในมะเขือเทศมี β-carotene และ lycopene ในมะเขือเทศที่สุกมี lycopene เพิ่มขึ้น
         ใบ : ส่วนเหนือดินและผลดิบ ในมะเขือเทศยังมีสารพวกสเตียรอยดัลอัลคาลอยด์ (steroidal alkaloids) ได้แก่ อัลฟาโทมาทีน
    ข้อควรระวัง
            สารอัลฟาโทมาทีน มีลักษณะคล้ายซาโปนิน ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อบุอย่างแรง ถ้ารับประทานในขนาดที่ทำให้เกิดพิษจะระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างแรง มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางอาจเป็นอัมพาตได้
            การใช้มะเขือเทศพอกหน้า บำรุงผิวหน้าให้อ่อนนุ่มสดชื่นผลที่ใช้ต้องสด ดูสภาพดี ไม่ควรใช้ผลที่เหี่ยวแห้งแล้ว ภาชนะที่ใส่ผลไม้ไม่ควรทำด้วยโลหะที่เป็นสนิม ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง การพอกอย่าพอกที่ตา ปาก และจมูก


    ที่มา : กรณัฐวุฒิ รักแคว้น. 2553. เคล็ดเครื่องสำอาง อาวุธลับผิวสวย. ฐานบุ๊ค. กรุงเทพฯ.